Serverless Deno บน Google Cloud สำหรับนักพัฒนาไทย

เจาะลึก Serverless Computing ด้วย Deno และ Google Cloud Functions: คู่มือสำหรับนักพัฒนาไทย

  • Estimated reading time: 15 minutes
  • **Key Takeaways:**
  • เข้าใจหลักการของ Serverless Computing และข้อดีของมัน
  • เรียนรู้เกี่ยวกับ Deno และเหตุผลที่ควรใช้
  • รู้จัก Google Cloud Functions และการทำงานของมัน
  • รู้วิธีการเริ่มต้นใช้งาน Deno กับ Google Cloud Functions
  • เข้าใจถึงความท้าทายและข้อควรระวังในการใช้ Serverless Computing


ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยี Serverless Computing ได้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจและนักพัฒนาที่ต้องการความคล่องตัว ประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า วันนี้ เราจะมาเจาะลึกวิธีการ Mastering Serverless Computing with Deno and Google Cloud Functions: A Guide for Thai Developers โดยเฉพาะ โดยมุ่งเน้นที่การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของนักพัฒนาชาวไทย



ทำความเข้าใจ Serverless Computing คืออะไร?

Serverless Computing ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเซิร์ฟเวอร์ แต่หมายถึงคุณไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง ผู้ให้บริการคลาวด์ (เช่น Google Cloud) จะดูแลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด ทำให้คุณสามารถโฟกัสไปที่การเขียนโค้ดและการพัฒนาแอปพลิเคชันได้เต็มที่



ข้อดีของ Serverless Computing:

  • ลดค่าใช้จ่าย: จ่ายเฉพาะทรัพยากรที่ใช้จริง (Pay-as-you-go)
  • เพิ่มความคล่องตัว: ปรับขนาดทรัพยากรได้อัตโนมัติตามความต้องการ
  • ลดภาระการจัดการ: ไม่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์
  • เร่งความเร็วในการพัฒนา: โฟกัสไปที่การเขียนโค้ด


ทำไมต้อง Deno?

Deno คือ JavaScript, TypeScript และ WebAssembly runtime ที่มีความปลอดภัยสูง สร้างขึ้นโดย Ryan Dahl ผู้สร้าง Node.js เพื่อแก้ไขปัญหาและความท้าทายที่ Node.js เผชิญอยู่



จุดเด่นของ Deno:

  • Security by default: ต้องขอ Permission ก่อนเข้าถึงระบบไฟล์ เครือข่าย หรือสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
  • TypeScript support: รองรับ TypeScript ในตัว ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม
  • Modern JavaScript features: รองรับ Module System แบบ ES Modules
  • Decentralized packages: ไม่ต้องพึ่งพา Package Manager อย่าง npm


Google Cloud Functions คืออะไร?

Google Cloud Functions คือ Serverless Execution Environment ของ Google Cloud Platform (GCP) ที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างและปรับใช้ฟังก์ชันขนาดเล็กที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น การอัปโหลดไฟล์ไปยัง Cloud Storage หรือการส่ง HTTP request



ข้อดีของ Google Cloud Functions:

  • Event-driven: ทำงานเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น
  • Scalable: ปรับขนาดทรัพยากรได้อัตโนมัติตามความต้องการ
  • Integration with GCP services: เชื่อมต่อกับบริการอื่น ๆ ของ GCP ได้ง่าย
  • Pay-as-you-go pricing: จ่ายเฉพาะทรัพยากรที่ใช้จริง


เริ่มต้นใช้งาน Deno กับ Google Cloud Functions

ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนพื้นฐานในการสร้างและปรับใช้ฟังก์ชัน Serverless ด้วย Deno และ Google Cloud Functions:



1. ติดตั้ง Deno



คุณสามารถติดตั้ง Deno ได้ง่าย ๆ โดยใช้คำสั่งต่อไปนี้:



curl -fsSL https://deno.land/install.sh | sh


หลังจากติดตั้งเสร็จสิ้น ให้เพิ่ม Deno ไปยัง PATH ของคุณ:



export DENO_INSTALL="/home/your-user/.deno"export PATH="$DENO_INSTALL/bin:$PATH"


2. สร้างฟังก์ชัน Deno



สร้างไฟล์ `index.ts` ด้วยโค้ดต่อไปนี้:



import { serve } from "https://deno.land/[email protected]/http/server.ts";interface RequestEvent {  request: Request;  respondWith: (r: Response | Promise) => Promise;}async function handler(req: Request): Promise {  const url = new URL(req.url);  const name = url.searchParams.get("name") || "World";  return new Response(`Hello, ${name}!`);}serve(handler, { port: 8080 });console.log("Deno server listening on port 8080");


ฟังก์ชันนี้จะรับพารามิเตอร์ `name` จาก URL และส่งข้อความทักทายกลับไป



3. สร้างไฟล์ `deno.json`



สร้างไฟล์ `deno.json` เพื่อกำหนดค่า Deno:



{  "imports": {    "std/": "https://deno.land/[email protected]/"  },  "compilerOptions": {    "lib": ["deno.ns", "dom"]  }}


4. สร้าง Google Cloud Function



ในการสร้าง Google Cloud Function คุณต้องมีบัญชี Google Cloud Platform และเปิดใช้งาน Cloud Functions API



ใช้คำสั่งต่อไปนี้เพื่อสร้างฟังก์ชัน:



gcloud functions deploy hello-deno \  --runtime=nodejs16 \  --trigger-http \  --allow-unauthenticated \  --source=.


ข้อควรระวัง: เนื่องจาก Google Cloud Functions ไม่รองรับ Deno โดยตรง คุณจะต้องใช้ Node.js runtime และแปลงโค้ด Deno ให้เป็น Node.js ก่อน



5. แปลงโค้ด Deno เป็น Node.js



คุณสามารถใช้เครื่องมือ bundler เช่น esbuild เพื่อแปลงโค้ด Deno ให้เป็น Node.js:



esbuild index.ts --bundle --outfile=index.js --platform=node --format=cjs


จากนั้นสร้างไฟล์ `package.json`:



{  "name": "hello-deno",  "version": "1.0.0",  "main": "index.js",  "dependencies": {    "@google-cloud/functions-framework": "^3.1.0"  }}


และปรับปรุงไฟล์ `index.js` ให้เป็นดังนี้:



const functions = require('@google-cloud/functions-framework');functions.http('hello-deno', (req, res) => {  const name = req.query.name || 'World';  res.send(`Hello, ${name}!`);});


6. ปรับใช้ Google Cloud Function อีกครั้ง



ปรับใช้ Google Cloud Function อีกครั้งด้วยคำสั่งเดิม:



gcloud functions deploy hello-deno \  --runtime=nodejs16 \  --trigger-http \  --allow-unauthenticated \  --source=.


ตอนนี้คุณสามารถเข้าถึงฟังก์ชันของคุณได้ผ่านทาง URL ที่ Google Cloud Functions จัดเตรียมให้



Serverless Architecture กับ Digital Transformation

การนำ Serverless Architecture มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของ Digital Transformation สามารถช่วยให้องค์กรของคุณ:

  • เพิ่มความเร็วในการพัฒนา: ลดเวลาในการพัฒนาและปรับใช้แอปพลิเคชันใหม่ ๆ
  • ลดค่าใช้จ่าย: ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน
  • เพิ่มความยืดหยุ่น: ปรับขนาดทรัพยากรได้ตามความต้องการของธุรกิจ
  • ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า: มอบประสบการณ์ที่ราบรื่นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น


ในบริบทของ IT consulting, เราสามารถช่วยคุณวางแผนและดำเนินการ Digital Transformation โดยใช้ Serverless Computing อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากความต้องการและเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ



กรณีศึกษา: การใช้งาน Serverless Computing ในประเทศไทย

ถึงแม้ว่า Deno และ Google Cloud Functions จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่ก็เริ่มมีการนำมาใช้ในประเทศไทยบ้างแล้ว โดยเฉพาะใน Startup และบริษัทขนาดกลางที่ต้องการความคล่องตัวและความเร็วในการพัฒนา



ตัวอย่าง:

  • Startup ด้าน E-commerce ใช้ Serverless Functions เพื่อจัดการกับการประมวลผลคำสั่งซื้อและการส่งอีเมลแจ้งเตือน
  • บริษัท Logistics ใช้ Serverless Computing เพื่อประมวลผลข้อมูลการติดตามสินค้าแบบ Real-time


ความท้าทายและข้อควรระวัง

ถึงแม้ว่า Serverless Computing จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีความท้าทายและข้อควรระวังบางประการที่ต้องพิจารณา:

  • Cold starts: การเริ่มต้นฟังก์ชันครั้งแรกอาจใช้เวลานาน
  • Debugging: การดีบักฟังก์ชัน Serverless อาจซับซ้อนกว่าการดีบักแอปพลิเคชันแบบเดิม
  • Vendor lock-in: การผูกติดกับผู้ให้บริการคลาวด์รายใดรายหนึ่งอาจทำให้การย้ายระบบในอนาคตเป็นเรื่องยาก
  • Security: การรักษาความปลอดภัยของฟังก์ชัน Serverless ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด


เคล็ดลับสำหรับนักพัฒนาไทย

สำหรับนักพัฒนาชาวไทยที่สนใจ Serverless Computing ด้วย Deno และ Google Cloud Functions นี่คือเคล็ดลับบางประการ:

  • ศึกษาพื้นฐานให้แน่น: ทำความเข้าใจแนวคิดและหลักการของ Serverless Computing, Deno, และ Google Cloud Functions
  • ลองทำ Workshop และ Tutorial: เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ
  • เข้าร่วม Community: แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับนักพัฒนาคนอื่น ๆ
  • เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม: เลือกเครื่องมือและ Framework ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
  • เริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็ก ๆ: เริ่มต้นด้วยโปรเจกต์เล็ก ๆ เพื่อทำความเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้ก่อนที่จะนำไปใช้ในโปรเจกต์ใหญ่


Serverless Computing: อนาคตของการพัฒนาซอฟต์แวร์

Serverless Computing เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ในอนาคต ด้วยความคล่องตัว ประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า ทำให้ Serverless Computing เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจและนักพัฒนาที่ต้องการก้าวทันเทคโนโลยีล่าสุด



ในฐานะผู้นำด้าน software development และ Digital Transformation ในประเทศไทย มีศิริ ดิจิทัล พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนคุณในการนำ Serverless Computing ไปใช้ในองค์กรของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ



ติดต่อเรา



หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Serverless Computing, Deno, Google Cloud Functions, หรือบริการ IT consulting ของเรา โปรดติดต่อเราวันนี้!



ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษา

Keywords: Serverless computing, Deno, Google Cloud Functions, software development, Digital Transformation, IT consulting, business solutions, Thailand, นักพัฒนาไทย, บริการให้คำปรึกษาด้านไอที, พัฒนาซอฟต์แวร์



FAQ

สร้างร้านค้าออนไลน์ ปลอดภัยด้วย Qwik และ Supabase