มาทำความเข้าใจเรื่องการทำงานร่วมกันของฟีเจอร์ Multi-Company และ Multi-Warehouse ใน Odoo กันครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในความสามารถหลักที่ทรงพลังของ Odoo และในเวอร์ชัน 19 ก็จะได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
โดยสรุปคือ Odoo ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการความซับซ้อนนี้โดยเฉพาะ แต่มีหลักการสำคัญที่ต้องเข้าใจเพื่อให้การตั้งค่าและการใช้งานเป็นไปอย่างถูกต้องครับ
1. ความเข้าใจพื้นฐาน
Multi-Company (การจัดการหลายบริษัทในเครือ)
เป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้คุณจัดการหลายๆ นิติบุคคล (บริษัท) ภายใต้ระบบ Odoo เดียวกัน เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีบริษัทลูก หรือบริษัทในเครือหลายแห่ง
ข้อมูลแยกกันโดยสิ้นเชิง: แต่ละบริษัทจะมีข้อมูลทางการเงิน (ผังบัญชี, ภาษี), ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลผู้ขาย, และลำดับเอกสาร (เช่น เลขที่ใบแจ้งหนี้) เป็นของตัวเอง
ข้อมูลที่ใช้ร่วมกัน (Shared Data): สามารถตั้งค่าให้บางข้อมูลใช้ร่วมกันได้ระหว่างบริษัท เช่น รายชื่อสินค้า (Products), รายชื่อผู้ติดต่อ (Contacts) เพื่อความสะดวกในการจัดการ
การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้: สามารถกำหนดได้ว่าพนักงานคนไหนสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทใดได้บ้าง
ธุรกรรมระหว่างบริษัท (Inter-Company Transactions): Odoo มีกลไกอัตโนมัติในการสร้างเอกสารซื้อ-ขายระหว่างบริษัทในเครือ
Multi-Warehouse (การจัดการคลังสินค้าหลายแห่ง)
เป็นฟีเจอร์ที่ให้คุณจัดการสต็อกสินค้าในสถานที่จัดเก็บหลายแห่ง ซึ่งอาจจะเป็นคนละอาคาร, คนละเมือง, หรือแม้แต่คนละประเทศ
ติดตามสต็อกแยกคลัง: สามารถดูจำนวนสินค้าคงคลังในแต่ละคลังได้อย่างแม่นยำ
โครงสร้างคลังสินค้า: ภายในแต่ละคลัง (Warehouse) ยังสามารถมีโครงสร้างย่อยที่เรียกว่า Locations ได้อีก (เช่น โซนรับของ, ชั้นวาง, พื้นที่ QC)
กฎการเติมสินค้า (Replenishment Rules): สามารถตั้งกฎการเติมสินค้าสำหรับแต่ละคลังได้แตกต่างกัน เช่น สั่งซื้อจากผู้ขาย, ผลิต, หรือโอนย้ายมาจากคลังอื่น
เส้นทางการเดินสินค้า (Routes): กำหนดเส้นทางของสินค้าได้ว่าจะถูกจัดการอย่างไร เช่น ซื้อมาเก็บที่คลัง A ก่อน แล้วค่อยกระจายไปคลัง B และ C
2. การทำงานร่วมกัน: หลักการที่สำคัญที่สุด
หัวใจของการทำงานร่วมกันระหว่างสองฟีเจอร์นี้ มีกฎเหล็กอยู่หนึ่งข้อคือ:
1 คลังสินค้า (Warehouse) จะต้องผูกอยู่กับ 1 บริษัท (Company) เท่านั้น
คุณไม่สามารถตั้งค่าให้คลังสินค้าเดียวถูกใช้งานร่วมกันโดย 2 บริษัทได้ นี่เป็นหลักการออกแบบเพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูลสต็อกและมูลค่าทางบัญชี
จากหลักการนี้ ทำให้เกิดรูปแบบการใช้งาน 2 กรณีหลักๆ ครับ
กรณีที่ 1: หลายคลังสินค้าภายใต้บริษัทเดียวกัน
ตัวอย่าง: บริษัท A จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่กรุงเทพฯ และมีสาขาที่เชียงใหม่ จึงมี 2 คลังสินค้า คือ "คลังกรุงเทพฯ" และ "คลังเชียงใหม่" ทั้งสองคลังนี้ผูกอยู่กับ "บริษัท A จำกัด"
การจัดการ: การย้ายสินค้าระหว่างคลังกรุงเทพฯ และคลังเชียงใหม่ จะใช้กระบวนการที่เรียกว่า "Internal Transfer" (การโอนย้ายภายใน) ซึ่งเป็นเพียงการเคลื่อนย้ายสต็อกสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ไม่มีผลกระทบทางบัญชี (ไม่เกิดรายได้หรือค่าใช้จ่าย) Odoo จะบันทึกแค่การเคลื่อนไหวของสต็อก (Stock Move)
กรณีที่ 2: การย้ายสินค้าระหว่างคลังสินค้าของ "คนละบริษัท"
ตัวอย่าง: บริษัทแม่ (บริษัท A) ต้องการส่งสินค้าไปให้บริษัทลูก (บริษัท B) ซึ่งแต่ละบริษัทมีคลังสินค้าของตัวเอง (คลัง A1 และ คลัง B1)
การจัดการ: คุณ ไม่สามารถ ใช้ "Internal Transfer" ได้ เพราะเป็นการดำเนินการข้ามนิติบุคคล ซึ่งต้องมีการบันทึกทางบัญชี
กระบวนการที่ถูกต้องใน Odoo คือการทำ ธุรกรรมระหว่างบริษัท (Inter-Company Transaction) ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นกระบวนการซื้อ-ขาย:
บริษัท A (ผู้ขาย): สร้างใบสั่งขาย (Sales Order) ให้กับ บริษัท B
บริษัท B (ผู้ซื้อ): สร้างใบสั่งซื้อ (Purchase Order) จาก บริษัท A
Odoo Automation: คุณสามารถตั้งค่า Inter-Company Rules ใน Odoo ให้เมื่อบริษัท A สร้าง SO ให้ B ระบบจะไปสร้าง PO ที่ฝั่งบริษัท B ให้โดยอัตโนมัติ (และในทางกลับกัน)
การเคลื่อนไหวของสต็อก: สินค้าจะถูกเบิกออกจาก "คลัง A1" (Delivery Order) และถูกรับเข้าที่ "คลัง B1" (Receipt)
ผลกระทบทางบัญชี: เกิดการบันทึก "ลูกหนี้การค้า" ที่บริษัท A และ "เจ้าหนี้การค้า" ที่บริษัท B อย่างถูกต้อง
3. สิ่งที่คาดหวังได้ใน Odoo 19
ถึงแม้ว่า Odoo 19 จะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่แนวโน้มการพัฒนาจะมุ่งเน้นไปที่:
UI/UX ที่ดีขึ้น: ทำให้การตั้งค่าและมองเห็นภาพรวมของ Multi-Company และ Multi-Warehouse ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น
กระบวนการอัตโนมัติที่ราบรื่นขึ้น: อาจมีการปรับปรุง Rules ของ Inter-Company ให้ยืดหยุ่นและตั้งค่าได้ง่ายกว่าเดิม
Reporting ที่ทรงพลังขึ้น: รายงานแบบ Consolidated (งบการเงินรวม) หรือรายงานสต็อกภาพรวมข้ามบริษัทอาจจะถูกทำให้ดูง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปและข้อแนะนำ
วางแผนโครงสร้างให้ดี: ก่อนเริ่มใช้งาน ต้องวางแผนโครงสร้างบริษัทและคลังสินค้าให้ชัดเจนว่าอะไรอยู่ภายใต้นิติบุคคลใด
ใช้ฟีเจอร์ให้ถูกประเภท:
ย้ายของในบริษัทเดียวกัน -> ใช้ Internal Transfer
ย้ายของข้ามบริษัท -> ใช้กระบวนการ Sales/Purchase (Inter-Company)
ตั้งค่าสิทธิ์ผู้ใช้ให้รัดกุม: กำหนดให้ชัดเจนว่าใครเห็นข้อมูลของบริษัทไหนและคลังไหนได้บ้าง เพื่อป้องกันความสับสนและผิดพลาด
Odoo จัดการเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ต้องการความเข้าใจในหลักการพื้นฐานที่ถูกต้อง หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะเจาะจงมากขึ้น สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้เลยครับ